เริ่มต้นเปิดร้านขายจิวเวลรี่ออนไลน์อย่างถูกวิธี มีขั้นตอนที่ต้องเตรียมตัวดังนี้ค่ะ
1. อันดับแรกคุณต้องมี “แบรนด์สินค้า” ก่อน สำหรับผู้ประกอบการที่เคยสร้างแบรนด์มาแล้ว ถือว่าคุณผ่านในข้อแรกนี้ แต่สำหรับผู้ที่ไม่เคยสร้างแบรนด์ของตัวเอง เช่น ผู้ที่ทำธุรกิจรับจ้างผลิต และขายสินค้าภายใต้แบรนด์ของคนอื่นมาโดยตลอด ถือว่าคุณยังไม่มีตัวตนในทางออนไลน์นะคะ คุณจำเป็นต้องสร้างแบรนด์ของตัวเองขึ้นมา เพราะการขายสินค้าออนไลน์คือ คุณขายให้กับผู้บริโภคโดยตรงและเขาต้องรู้จักคุณผ่านชื่อแบรนด์ที่คุณนำเสนอ
2. ค้นหาจุดเด่นหรือ “คอนเซ็ปต์สินค้า” ของคุณให้เจอ เช่น ดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของคุณ หรือวัตถุดิบเกรดพรีเมี่ยม หรือตัวเรือนที่แข็งแรง ทนทาน แวววาว กว่าของผู้ใด หรือเทคนิคการฝัง การเจียระไนขั้นเทพ ฯลฯ จุดเด่นที่ว่านี้จะกลายมาเป็นคอนเซ็ปต์สินค้าของแบรนด์คุณ ความโดดเด่นและเอกลักษณ์เฉพาะตัวจะเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้คนจดจำคุณได้ ดังเช่นที่มีคนเคยกล่าวไว้ว่า…
3. เมื่อคุณมีคอนเซ็ปต์สินค้าแล้ว คุณจะต้อง “คัดเลือกสินค้า” ที่ตรงกับคอนเซ็ปต์มาขายออนไลน์ด้วย ส่วนสินค้าที่ไม่เกี่ยวข้อง อย่าเอามาขายปนกัน เพราะจะทำให้แบรนด์อิมเมจของคุณไม่ชัดเจน
4. “รูปสินค้า” แน่นอนว่าการขายจิวเวลรี่ออนไลน์ จำเป็นต้องมีรูปสินค้าที่สวยงาม เพราะผู้บริโภคไม่ได้เห็นสินค้าตัวจริง ก็ต้องดูจากรูปสินค้านี่แหละ เพื่อพิจารณาตัดสินใจซื้อ ถ้ารูปสินค้าไม่สวย ถ่ายไม่ชัด มืดๆ เบลอๆ เรียกว่าตายตั้งแต่หน้าประตู ต่อให้ปูคอนเซ็ปต์มาดีแค่ไหนก็ขายไม่ออกแน่นอน
5. หลังจากผู้ซื้อเห็นรูปสินค้าที่สวย โดนใจ เกิดความรู้สึกอยากได้ เขาจะเริ่มพิจารณารายละเอียดสินค้า ดังนั้นคุณต้องมี “ข้อมูลสินค้า” ให้เขาอ่านด้วย ยิ่งมีรายละเอียดมากเท่าใดก็ยิ่งดี เช่น ตัวเรือนทำจากอะไร ฝังเพชรหรือพลอยชนิดไหน น้ำหนักเท่าไร เจียรแบบไหน ฯลฯ ย้ำว่า ยิ่งละเอียดยิ่งดีค่ะ
6. มีการ “รับประกันความพึงพอใจ” เนื่องจากลูกค้าที่สั่งซื้อจิวเวลรี่ออนไลน์ไม่ได้เห็นสินค้าจริง การตัดสินใจซื้อของเขา ขึ้นอยู่กับรูปภาพและข้อมูลสินค้าที่คุณโพสต์ขายเท่านั้น ดังนั้นถ้าคุณไม่รับรองความพึงพอใจ หรือไม่ให้ความมั่นใจหลังการขายกับเขา จะไม่มีลูกค้าคนใดกล้าซื้อออนไลน์กับคุณค่ะ ดังนั้นเพื่อแสดงความจริงใจของผู้ขาย คุณต้องรับประกันความพึงพอใจสินค้าที่คุณขายด้วยเสมอ
7. สุดท้ายคือ “สถานที่ขาย” ซึ่งมีอยู่ 2 ทางเลือก ได้แก่ การสร้างเว็บไซต์ส่วนตัว กับ การนำสินค้าไปขายบนเว็บไซต์ของผู้อื่น ซึ่งทั้ง 2 แบบนี้มีข้อดีข้อเสียต่างกัน สรุปคร่าวๆคือ ถ้าคุณเลือกสร้างเว็บไซต์ส่วนตัว คุณต้องลงแรง ลงเวลา และลงเงินมากกว่า เพื่อสร้างสิ่งที่เป็นของคุณเอง และพอมีเว็บไซต์แล้ว คุณต้องบริหารจัดการเว็บไซต์เป็น มีวิธีการโปรโมตเว็บไซต์ให้เป็นที่รู้จัก ดูแลระบบหน้าร้าน/หลังร้านให้อัพเดทอยู่เสมอ ถ้าคุณคิดจะเลือกแนวทางนี้ ขอให้ศึกษารายละเอียดงานที่ต้องทำ หลังจากมีเว็บไซต์แล้วให้ละเอียดถี่ถ้วน เพราะมีผู้ประกอบการจำนวนไม่น้อยที่อยากมีเว็บของตัวเอง แต่เมื่อสร้างเว็บไซต์ขึ้นมาแล้ว กลับไม่สามารถดูแลอัพเดทหรือโปรโมตเว็บไซต์ได้ จนในที่สุดต้องทิ้งร้างไป หรือเปลี่ยนเป็นแค่เว็บไซต์แนะนำบริษัทเท่านั้น ซึ่งไม่คุ้มค่ากับสิ่งที่ลงทุนไป
ส่วนวิธีที่ 2 คือ การนำสินค้าไปขายบนเว็บไซต์ของผู้อื่น เว็บไซต์ที่ว่านี้เป็นเว็บขายสินค้าขนาดใหญ่ (E-Marketplace) ซึ่งมีทีมงานดูแลระบบ คอยบริหารจัดการสินค้า และทำการตลาดออนไลน์ให้คุณอย่างมืออาชีพ ทำให้คุณมีเวลาไปพัฒนาสินค้าและกระบวนการผลิตได้มากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่คุณถนัดกว่า ส่วนการขายสินค้าออนไลน์ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้ที่ถนัดงานทางด้านนี้แทน ดังนั้น หากคุณเลือกวิธีนี้ สิ่งที่คุณจะต้องตัดสินใจให้ดีก็คือ “การเลือกเว็บไซต์ขายสินค้าที่มีความน่าเชื่อถือ” ก็เหมือนคุณเลือกที่จะนำสินค้าไปฝากขายในห้างสรรพสินค้า คุณก็ต้องเลือกห้างที่น่าเชื่อถือ มีลูกค้ามาเดินเยอะๆ มีปัจจัยพื้นฐานหรือสิ่งอำนวยความสะดวกที่เอื้ออำนวยให้คุณขายของได้ดีที่สุด การเลือกเว็บไซต์ที่จะนำจิวเวลรี่ไปขายก็เช่นเดียวกัน